SCB WEALTH เผยสินทรัพย์ด้านการลงทุนยังโต 7% ตั้งเป้า 3 ปีขึ้นแท่นที่หนึ่งด้าน NPS-มาร์เก็ตแชร์-บริหารพอร์ต พร้อมนำ AI วิเคราะห์ข้อมูลเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้ายกระดับ WPlan

ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ WEALTH  ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยว่า ในปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายท่ามกลางภาวะการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวนตลอดปี ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งสงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะลุกลามหรือยืดเยื้อนานเท่าใด แต่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง SCB WEATH ยังคงมุ่งมั่นปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้า Wealth และลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะเป็น Wealth อยู่มากกว่า 1 ล้านคน  ด้วยความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาด  ได้มีการคัดสรรและนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย  สำหรับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนและสามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ไม่ผันผวนจนเกินไปและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในภาวะดอกเบี้ยสูง เช่น กองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้สินทรัพย์การลงทุนภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่มลูกค้า SCB WEALTH เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 4%   

.

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกัน และสินเชื่อเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง  (Wealth   Lending  ประเภท Property Backed Loan และ Lombard Loan) ที่มียอดสินเชื่อเติบโตขึ้นมากกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน Regular Unit-linked ยังครองอันดับ 1 ในตลาดประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance)  เป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในปีนี้  และธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งผลการดำเนินงานที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง  คาดการณ์ว่า รายได้จากกลุ่มธุรกิจ Wealth ในปี2566 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

.

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยว่า ปี 2566 นี้เป็นปีแห่งความผันผวน เริ่มต้นปีด้วยความกังวลเศรษฐกิจถดถอย มาสู่ปลายปีด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวแบบจัดการได้ ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงและค้างนาน กำลังนำไปสู่ความคาดหวังว่าธนาคารกลางหลักจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย ส่วนประเด็นสงคราม ก็ยังมีทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ขณะที่การไหลออกของเงินทุนจากตลาดไทยไปต่างประเทศยังคงมีอยู่และความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้งส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ชัดเจน และล่าช้าออกไป

.

ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่เศรษฐกิจปี2567ที่มีแนวโน้มชะลอตัวไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ ทำให้นักลงทุนคาดหวังเห็นการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ส่วนความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ ภาวะ Stagflation หรือ เศรษฐกิจเติบโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง, ธุรกิจที่มีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก อาจมีความเสี่ยงที่ต้องกู้ยืมใหม่ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก, ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในประเทศหลักๆ ที่จะทำให้ตลาดการลงทุนมีความผันผวน และสภาพคล่องทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงจากการใช้นโยบายดูดเงินในระบบกลับออกมาด้วยเหตุผลนี้ เราแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน แบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ ที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย โดยควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็น การทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade) หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield) ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ควรทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่มีงบดุลที่แข็งแกร่ง มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ สามารถรองรับธุรกิจชะลอตัว และรักษาอัตรากำไรได้ดี 

.

พอร์ตลงทุนที่แนะนำเพื่อคาดหวังผลตอบแทน 7-10% กรณีเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง รับความเสี่ยงได้สูง เข้าใจผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน คือ แบ่งเงิน 15% ไว้ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือเลือกรับผลตอบแทนระหว่างรอแลกอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องการ ด้วยผลิตภัณฑ์ Dual Currency Note Pricing (DCI) ที่ให้ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนที่ลูกค้าต้องการ เลือกลงทุนตราสารหนี้ 15% เน้นตราสารหนี้ระยะยาว ลงทุนในหุ้น 30% ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่เป็นกลุ่มคุณภาพ เติบโตสูง โดยควรมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสร้างผลบวกด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในพอร์ตด้วย พร้อมกันนี้ควรลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ Capped Floored Floater Noted ที่จำกัดผลตอบแทนต่ำสุด แลกกับการจำกัดผลตอบแทนสูงสุด 10% หุ้นกู้อนุพันธ์อื่นๆ 10% สินทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Asset) 10% และสินค้าโภคภัณฑ์อีก 10% เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ 

.

ด้านการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการลงทุนให้ลูกค้า ในส่วนของ SCB Easy เราได้นำเสนอบริการ Wealth4U โดยมีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์กองทุนที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าแต่ละบุคคล พร้อมเปรียบเทียบทางเลือกการลงทุนที่ลูกค้าสนใจ เพื่อแนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดให้ลูกค้า 

.

นายสุกิจ  อุดมศิริกุล  กรรมการผู้จัดการ  สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์  เอกซ์  จำกัด   (INVX) เผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2024 ยังคงมีความผันผวนแต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปี 2023 เนื่องจากระดับ SET Index ในปัจจุบัน ถือว่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (undervalue) โดยคาดว่า ตลาดยังมีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีแรก และ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเมินเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 1,750 จุด 

.

ปัจจัยที่คาดว่าจะสร้างความผันผวนให้กับตลาด ได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2024 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันและ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส ซึ่งมีความเสี่ยงกระทบต่อราคาอาหารและพลังงานให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ความแปรปรวนของภูมิอากาศโลกและปรากฏการณ์เอลนีโญในประเทศไทยมีโอกาสสร้างผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ในขณะที่ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย เป็นปัจจัยที่ตลาดมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบไม่รุนแรงมากเป็นเพียง Soft Landing หรือ Mild Recession ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯมีโอกาสปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 2024 ช่วยสร้างโอกาสให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า     

 .

ส่วนปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย มาจากปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจาก คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนเพิ่ม แม้ว่าจะยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Digital wallet อยู่บ้างก็ตาม เนื่องจากโดยภาพรวมคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3-4% สูงกว่าปี 2023 ที่ขยายตัวต่ำกว่า 3%  ในขณะเดียวกัน คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวได้ 10-15% ซึ่งถือว่าดีกว่าปี 2023 ที่ชะลอตัว 10% 

.

นายอิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล  กรรมการและหุ้นส่วนอาวุโส  บริษัท บอสตันคอนซัลติ้ง กรุ๊ป  (BCG) เผยว่า จากการศึกษาของ BCG พบว่าตลาด Wealth Management ของประเทศไทยทั้ง onshore และ offshore จะมีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 4.5% ต่อปีในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เราพบว่ามี 4 เทรนด์หลักในธุรกิจ  Wealth  Management ที่พบในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทย ได้แก่ 1) ลูกค้ากลุ่ม High Net Worth (HNW) มีความต้องการที่จะได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนส่งต่อมรดกให้ทายาทรุ่นถัดไปและการวางแผนเพื่อเตรียมการเกษียณ 2) สถาบันการเงินข้ามชาติ ทั้ง ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และบริษัทFintech ต่างๆเข้ามาประกอบการในธุรกิจนี้ส่งผลให้การแข่งขัน ในธุรกิจนี้ร้อนแรงขึ้นมาก 3) ลูกค้าต้องการคำแนะนำ ที่ครบถ้วนและหลากหลายมากขึ้นรวมไปถึง การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ ที่เมื่อก่อนเข้าถึงได้แต่เฉพาะกลุ่มลูกค้า Ultra High Net Worth (UHNW) เท่านั้น และ4) ลูกค้าต้องการประสบการณ์ในการใช้บริการการบริหารความ มั่งคั่งแบบไร้รอยต่อ (seamless experience)  เช่น การจัดพอร์ตการลงทุน การค้นหาข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับการตลาดและผลิตภัณฑ์หรือหรือการทำรายการซื้อขายและมอนิเตอร์พอร์ตการลงทุน

.

   ทั้งนี้ BCG ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง   มีการทำงานร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกและทำการวิจัยกับผู้บริโภคในหลายประเทศ  ซึ่งพบว่า เทคโนโลยีจะมีบทบาท มากขึ้นในการบริหารความมั่งคั่ง ทั้งนี้ เครื่องจักรหรือสมองกลจะไม่ได้มาแทนที่คนทั้งหมด ลูกค้า High Net Worth ต้องการการผสมผสานกันระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการได้รับความดูแลจากคน

.

ดร. สาธิต ผ่องธัญญา ผู้อำนวยการอาวุโส  Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยว่า เทรนด์กฎหมายในปีหน้า ยังคงต้องติดตามกฎหมายต่างๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น การเก็บภาษีการรับมรดกที่อาจมีการปรับปรุงกฎหมายและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้การจัดเก็บภาษีสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

.

ส่วนกฎหมายภาษีการลงทุนต่างประเทศ ตามที่กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 เมื่อเดือนกันยายน 2566 และ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 ซึ่งมีผลให้นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 180 วันขึ้นไป  หากมีเงินได้จากต่างประเทศ เช่น เงินปันผล กำไรจากการขายหุ้น ดอกเบี้ย และได้นำเงินเข้ามาในประเทศไทยไม่ว่าจะนำเข้ามาในปีใดก็ตาม จะต้องนำมารวมเสียภาษีในประเทศไทยในปีนั้น ซึ่งตามหลักแล้วจะต้องเสียภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้า โดยหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะใช้สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป  การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์นี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนที่ได้ไปลงทุนในต่างประเทศ  ทั้งนี้  Wealth Planning and Family  office  จึงขอแนะนำนักลงทุนไทยที่ลงทุนต่างประเทศ อาจจะพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมไทยที่ไปซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศหรือกองทุนไทยที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ข้อดีคือผู้ลงทุนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหากได้กำไรจากการลงทุน  แต่หากมีปันผลจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10  ในปีนี้ลูกค้ากลุ่มHNWให้ความสนใจเรื่องการสร้างความมั่งคั่งผ่าน Family Holding Company เพราะช่วยในการเก็บรวบรวมทรัพย์สินของครอบครัวเพื่อการส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน

#SCB #SCBWEALTH #StockReview #BusinessLineandLife #ข่าวประจำวันนี้ #ข่าวหุ้น